ทุกวันนี้เราสามารถโอนเงินไปให้กับใครก็ได้ผ่านโปรแกรมหรือ Application ของธนาคาร รวมทั้งยังสามารถส่งเงินให้กับ ใครก็ได้บนโลกใบนี้ โดยอาศัยผู้ให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งมีหลากหลายผู้ให้บริการในปัจจุบัน
แต่การโอนสินทรัพย์ดิจิทัลผ่าน blockchain เป็นสิ่งที่แตกต่างกันในรายละเอียด และถ้าทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งแล้วจะพบว่า การโอนสินทรัพย์ดิจิทัลผ่าน blockchain มีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าการทำธุรกรรมทางการเงินในแบบปัจจุบันอยู่หลายเรื่องเลยทีเดียว
การทำธุรกรรมทางการเงินในแบบปัจจุบัน
ขออธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจก่อน เพราะมีความสำคัญที่จะชี้ให้เห็นถึงความแตกต่าง ในตอนสุดท้าย
ปัจจุบันการทำธุรกรรมทางการเงิน เราจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาผู้ให้บริการ โดยเราเชื่อใจว่าผู้ให้บริการจะทำหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมา และสามารถนำเงินที่เราได้ฝากเอาไว้ให้กับเขา ส่งมอบให้กับผู้รับตามที่เรากำหนดไว้ให้ อย่างถูกต้องและตรงเวลา
หากเราพิจารณาให้ดีแล้ว เราจะพบว่าผู้ให้บริการนั้นก็คือ “ตัวกลาง” ที่คั่นระหว่างเรา และ ผู้รับเงินปลายทาง โดยผู้ให้บริการเหล่านี้ มีอำนาจในการที่จะ ยึด หรือ อายัด หรือ กระทั่งฉ้อโกงเงินของเรา ไม่นำส่งให้ปลายทาง รวมทั้งอาจเกิดปัญหาบางอย่างกับตัวกลาง ทำให้ไม่สามารถส่งมอบเงินตามที่เราต้องการได้
และนี่คือการทำธุรกรรมทางเงินในปัจจุบัน ซึ่งเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้ในระบบนี้ เพราะถ้าเราต้องการจะนำตัวกลางออก ก็จะเหลือเพียงกระบวนการเดียว คือการนำส่งมอบด้วยตัวของเราเอง เช่น การที่เราต้องขนเงินสดไปให้กับผู้รับถึงมือด้วยตัวของเราเอง การทำแบบนี้จะทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเป็นอันมาก กว่าการใช้บริการผ่านตัวกลาง (ที่เราต้องไว้ใจ) อย่างแน่นอน
อย่างที่เรารู้กันมานานแล้ว โลกของอินเทอร์เน็ต ได้เข้ามาลดระยะทางในการสื่อสารข้อมูลต่างๆ และ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โดยที่ไม่ต้องอาศัยการเดินทางหากันเหมือนในอดีต ตัวอย่างหนึ่ง ก็คือ เราสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ขอแค่เพียงมี คอมพิวเตอร์ และ อินเทอร์เน็ต เท่านั้น
แต่การโอนเงิน แม้ว่าจะเป็นการโอนเงินผ่านอินเตอร์เน็ต นั่นก็ยังไม่ใช่การโอนความมั่งคั่ง หรือสินทรัพย์ ผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้โดยตรง แต่เราเพียงแค่ใช้อินเตอร์เน็ตในการส่ง “คำสั่ง” เพื่อบอกให้ “ตัวกลาง” ดำเนินการโอนเงินตามที่เราต้องการเท่านั้น เราจึงจะเห็นได้ว่าแม้มีอินเตอร์เน็ตแล้ว แต่เราก็ยังไม่สามารถตัด “ตัวกลาง” ออกจากกระบวนการโอนมูลค่าหรือสินทรัพย์ อย่างที่เราต้องการได้ และการมีตัวกลางก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาอย่างที่ได้เล่าไปในย่อหน้าข้างบนอีกด้วย
การทำธุรกรรมทางการเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล
สินทรัพย์ดิจิตอลมีรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกันไป อย่างที่บทความเก่าๆได้เคยอธิบายเอาไว้แล้ว รูปแบบการเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลใน crypto wallet นั้น มีเพียงเจ้าของของ wallet นั้นๆ เพียงคนเดียว ที่มีสิทธิ์และมีอำนาจในการที่จะโอนสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นออกจาก wallet นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ให้บริการ Network หรือ โหนด ก็ไม่มีสิทธิ์ในการทำธุรกรรมแทนเจ้าของได้ หากเจ้าของ crypto wallet นั้นไม่ได้ยินยอมด้วยตัวเอง นี่คือข้อดีข้อแรก
ข้อดีต่อมา การทำธุรกรรมการโอนไปยังผู้รับปลายทาง จะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวกลาง หรือผู้ให้บริการใดๆทั้งสิ้น ขอเพียงแค่มีอินเตอร์เน็ตที่สามารถเชื่อมต่อกับ blockchain Network ที่เราใช้งานอยู่ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอ เพราะเมื่อธุรกรรมที่เราได้สั่งและแจ้งเข้าไปใน Network เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น สถานะจะจบได้เพียงแค่ 2 แบบเท่านั้น ก็คือสำเร็จ หรือ ไม่สำเร็จ จะไม่มีสถานะอยู่ตรงกลาง เพราะไม่มีตรงกลาง (ไม่นับกรณี gas ต่ำ และ รอบรรจุลง block ซึ่งถือว่าธุรกรรมเหล่านั้้น ยังไม่ได้ถูกประมวลผล ใน blockchain network แต่แค่ไปรอคิวเพื่อจะเข้าประมวลเท่านั้น ซึ่งสามารถเพิ่ม gas หรือสั่งยกเลิกได้เช่นกัน) การตัดตัวกลางออกนี้ ทำให้ไม่มีทางที่จะเกิดปัญหาใดๆ อันเนื่องมาจากตัวกลาง อย่างที่ได้เล่าไปในย่อหน้าข้างบนเลย
สินทรัพย์ที่เราต้องการจะโอน จึงมั่นใจได้ว่าถ้าไม่อยู่ในมือเรา ก็จะถึงมือผู้รับปลายทางอย่างแน่นอน ไม่มีใครที่สามารถขโมยหรือฉกฉวยออกไปได้ในระหว่างกระบวนการทำธุรกรรมเลย แม้ว่า blockchain Network จะถูกโจมตีก็ตาม เขาก็จะทำได้เพียงทำให้กระบวนการยืนยันธุรกรรมช้าลงเท่านั้น หรือจบในสถานะยกเลิก แต่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงผู้รับปลายทาง หรือขโมยไปเป็นของตนเองได้เป็นอันขาด นั่นคือระบบที่ได้ถูกออกแบบเอาไว้แล้วตั้งแต่ต้น
ค่าธรรมเนียมที่ต่ำ
เป็นความจริงที่ปัจจุบันประเทศไทยสามารถโอนเงินหากันได้ฟรี แต่การโอนสินทรัพย์ดิจิตอลต่างถูกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เป็นค่าธรรมเนียมการยืนยันธุรกรรม หรือที่เรียกกันว่า gas fee ถ้าเปรียบเทียบกันในมุมนี้ อาจจะรู้สึกได้ว่า gas fee นั้นมีราคาแพงเพราะการโอนเงินแบบ traditional ไฟแนนซ์มีค่าใช้จ่าย 0 บาท แต่เราต้องไม่ลืมว่าค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปให้กับ blockchain Network นั้น เป็นค่าใช้จ่ายที่ลดความเสี่ยงจากการตัดตัวกลางออกไป ซึ่งถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับความปลอดภัยที่ได้รับกลับคืนมา รวมทั้งระบบการทำงานต่างๆ ที่ช่วยรักษาความปลอดภัยตั้งแต่ระดับ crypto wallet ที่ทำให้เรามั่นใจได้ในระดับสูงสุด ว่าจะมีแต่เราผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถทำธุรกรรมบนสินทรัพย์ที่เราเก็บเอาไว้ใน wallet เราได้
เพราะการถูกโกงจากตัวกลางเพียงแค่ครั้งเดียว นั่นก็จะต้องจ่ายแพงมากกว่าค่าธรรมเนียมที่เราโอนสินทรัพย์ดิจิตอลทุกครั้งรวมกันเสียอีก
โปร่งใส
ธุรกรรมที่เกิดขึ้นใน blockchain Network โดยทั่วไปจะมีความโปร่งใสและทุกคนสามารถตรวจสอบทุกธุรกรรม ว่าดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาได้ถูกต้อง โดยมีการแสดงอย่างชัดเจนว่าผู้โอนคือใคร และผู้รับคือใคร จำนวนเท่าไหร่ เกิดขึ้นเมื่อเวลาไหน เปรียบได้เสมือนกับรายการทางบัญชี ที่แสดงอย่างชัดเจนให้กับคนบนโลกทั้งใบนี้ได้เห็นพร้อมๆ กัน ดังนั้นเมื่อมีการโอนเกิดขึ้นแล้ว จึงไม่สามารถทำการดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงธุรกรรมให้ผิดเพี้ยนไปจากคำสั่งที่ตั้งต้นได้เลย จึงไม่เคยเกิดเหตุการณ์สร้างสลิปปลอม หรือหลอกว่าโอนแล้วแต่ดึงเงินคืนได้ สิ่งเหล่านี้เป็นความโปร่งใสขั้นพื้นฐานที่ blockchain Network จำนวนมากได้นำเสนอเป็นหัวใจ เพราะสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ จะทำให้เชื่อมั่นได้ว่า สินทรัพย์เหล่านั้นจะมีความมั่นคง ทั้งในเชิงมูลค่า และสำหรับใช้ในการแลกเปลี่ยนมูลค่า ผ่าน internet ได้นั่นเอง
ทั้งหมดนี้ ก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน ทำให้เราสามารถส่งผ่านมูลค่าผ่าน internet ได้จริง โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ไม่ต้องเชื่อใคร แต่ส่งหากันโดยตรงได้ทันที และ นี่ก็จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนระบบการเงิน การธนาคาร ในอนาคตได้ในลำดับต่อไป ในช่วงนี้ ก็ต้องอาศัยเวลา และ ความรู้ ความเข้าใจ เพื่อจะนำมาใช้งานได้จริงในแบบที่ควรจะต้องเป็น
อมรเดช คีรีพัฒนานนท์
กรรมการสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย
Co-Founder
บริษัท ออมแพลทฟอร์ม จำกัด